เล็บซีดเป็นลักษณะหนึ่งของเล็บที่สีซีดกว่าปกติ ปกติแล้ว เล็บจะมีสีชมพูจาง ๆ เนื่องจากมีเม็ดเลือดแดงอยู่ใต้เล็บ เม็ดเลือดแดงเหล่านี้มีหน้าที่ในการขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย หากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เล็บก็จะซีดลง
เล็บซีดอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่
- การขาดสารอาหาร โดยเฉพาะธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี และวิตามินบี 12
- โรคโลหิตจาง โรคโลหิตจางเป็นภาวะที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ มักเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี และวิตามินบี 12
- โรคไตวายเรื้อรัง โรคไตวายเรื้อรังเป็นภาวะที่ไตทำงานได้ไม่ดี ส่งผลให้ร่างกายขับของเสียออกมาได้ไม่ดี ของเสียเหล่านี้อาจทำให้เล็บซีดได้
- โรคตับแข็ง โรคตับแข็งเป็นภาวะที่เนื้อตับถูกทำลาย ส่งผลให้ร่างกายผลิตโปรตีนได้ไม่ดี โปรตีนมีความสำคัญต่อการสร้างเล็บ หากร่างกายขาดโปรตีน เล็บก็จะซีดลงได้
- โรคหัวใจวาย โรคหัวใจวายเป็นภาวะที่หัวใจได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เล็บก็จะซีดลงได้
- การบาดเจ็บที่เล็บ การบาดเจ็บที่เล็บอาจทำให้เล็บซีดได้
- การใช้ยาบางชนิด ยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัด ยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด และยารักษาโรคไทรอยด์ อาจทำให้เล็บซีดได้
นอกจากสาเหตุข้างต้นแล้ว เล็บซีดยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น
- การแพ้สารเคมีบางชนิด เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดบ้าน
- การสัมผัสกับรังสี UV มากเกินไป
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- การสูบุหรี่
หากสังเกตเห็นว่าเล็บซีด ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุที่พบ
อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมกับเล็บซีด
นอกจากเล็บซีดแล้ว อาจพบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- อ่อนเพลีย
- เหนื่อยง่าย
- ใจสั่น
- หน้ามืด
- เวียนศีรษะ
- หายใจลำบาก
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
การรักษาเล็บซีด
การรักษาเล็บซีดขึ้นอยู่กับสาเหตุที่พบ หากเกิดจากสาเหตุที่แก้ไขได้ เช่น การขาดสารอาหาร โรคโลหิตจาง โรคไตวายเรื้อรัง โรคตับแข็ง โรคหัวใจวาย การบาดเจ็บที่เล็บ การใช้ยาบางชนิด การแพ้สารเคมีบางชนิด การสัมผัสกับรังสี UV มากเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และการสูบุหรี่ การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสาเหตุที่พบ
หากสาเหตุที่พบไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคตับแข็ง โรคหัวใจวาย อาจต้องใช้ยาหรือการรักษาอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการเล็บซีด
วิธีดูแลเล็บให้แข็งแรง
นอกจากการรักษาตามสาเหตุที่พบแล้ว ยังมีวิธีดูแลเล็บให้แข็งแรง ดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักและผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และโซเดียมสูง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีรุนแรง
- สวมถุงมือเมื่อทำงานที่ต้องสัมผัสกับน้ำหรือสารเคมี
- ตัดเล็บให้สั้นและเรียบเสมอกัน
- ทาครีมบำรุงเล็บเป็นประจำ
หากปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว เล็บก็จะแข็งแรงขึ้นและสีเล็บก็จะกลับมาเป็นปกติ
Leave a Reply